%1 https://www.yellowpages.co.th/ th รู้หรือไม่? แท้จริงแล้ว Chatbot มีกี่ประเภทกันนะ https://www.yellowpages.co.th/blog/knowledge/types-of-chatbots <span>รู้หรือไม่? แท้จริงแล้ว Chatbot มีกี่ประเภทกันนะ</span> <span><span lang="" about="/user/1" typeof="schema:Person" property="schema:name" datatype="">admin</span></span> <span>พฤ, 01/25/2024 - 14:54</span> <div class="field field--name-body field--type-text-with-summary field--label-hidden field--item"><p><strong>Chatbot คืออะไร?</strong></p> <p>ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จัก แชทบอท (Chatbot) กันก่อนว่าคืออะไร? Chatbot คือ เทคโนโลยีที่กำลังได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน โดยสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการสนทนากับลูกค้าอัติโนมัติที่จะฝังอยู่บนโปรแกรมแชท หรือ server นับได้มาเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกของตลาดออนไลน์เลยทีเดียว และแม้ว่าแชทบอทที่กำลังนิยมอยู่ในขณะนี้นั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ในปัจจุบัน แต่คาดว่าภายในเวลาไม่กี่ปีข้างหน้านี้แชทบอทจะเข้ามาเป็นตัวช่วยสำหรับการบริการลูกค้าในทุกองค์กร</p> <p class="text-align-left"><img alt="content-traget" class="img-responsive" data-entity-type="file" data-entity-uuid="-" src="/sites/storage/files/users/staff/blog/knowledge/1.png" title="content-traget" width="1200" /></p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>ประเภทของ Chatbot</strong></p> <p>ปกตินั้นเราจะแบ่ง Chatbot ออกเป็น 2 ประเภทกว้างๆ แต่วันนี้เราจะมาทำความรู้จักถึง chatbot ประเภทต่าง ๆ ที่แบ่งออกอย่างละเอียดถึง 6 ประเภท ดังนี้</p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>1. Menu/button-based chatbots (แชทบอทแบบปุ่มกดเมนู)</strong></p> <p>แชทบอทรูปแบบนี้เป็นประเภทที่โต้ตอบกันแบบมีปุ่มคำถามให้ผู้ใช้งานได้เลือกถามอย่างเป็นลำดับขั้นตอน โดยเราจะเน้นตั้งค่าคำถามที่พบเจอบ่อย ๆ เป็นประจำ เมื่อผู้ใช้งานเลือกคำถาม chatbot จะมีตอบกลับตามที่ตั้งค่าเอาไว้ แชทบอทประเภทนี้เป็นแบบเรียบง่าย ไม่เหมาะกับลูกค้าที่ต้องการคำตอบแบบซับซ้อน และวิธีนี้เป็นวิธีที่ช่วยลดการตอบแชทของแอดมินได้</p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>2. Rule-Based Chatbots (แชทบอทแบบ Linguistic Based)</strong></p> <p>เป็นหนึ่งในแชทบอทกลุ่ม AI Chatbot ซึ่งจะทำงานตามที่เราได้กำหนดกฎไว้ โดยที่จะเน้นไปในคำถามที่คิดว่าคนจะถามเข้ามา และหากว่าผู้ใช้งานพิมพ์ผิด ระบบอาจจะไม่สามารถตอบคำถามได้ หรืออาจให้คำตอบที่ผิดพลาด เพราะระบบแชทบอทประเภทนี้ไม่ได้มีความฉลาดมาก ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีข้อมูลในปริมาณที่มากพอ เพื่อให้ตัวแชทบอทได้มีการเรียนรู้จากข้อมูลที่เราป้อนเข้าไป</p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>3. Keyword recognition-based chatbots (แชทบอทตามคีย์เวิร์ด)</strong></p> <p>แชทบอทประเภทนี้จะมีการผสมผสานกันระหว่าง Menu/button-based และ Rule-Based Chatbots คือมีทั้งปุ่มกด และพิมพ์แชท โดยที่แชทบอทจะทำการตรวจสอบจากคีย์เวิร์ดที่กำหนดไว้ แล้วส่งคำตอบให้ผู้ใช้งานตามที่ได้มีการตั้งไว้ ซึ่งเหมาะกับกลุ่มคำถาม FAQs ต่างๆ ถ้าผู้ใช้งานถามคำถามที่ซับซ้อนแชทบอทอาจจะให้คำตอบผิดพลาดได้ รวมไปถึงการตั้งคีย์เวิร์ดที่มีความคล้ายกันด้วยที่อาจจะทำให้แชทบอทเกิดความสับสนจนตอบไม่ตรงคำถาม ซึ่งจะแตกต่างกับแชทบอทประเภท Rule-Based Chatbots ตรงที่ว่ารูปแบบนี้ไม่จำเป็นต้องพิมพ์ให้ถูกเป๊ะ ๆ แค่คล้าย ๆ หรือมีคีย์เวิร์ดในประโยคนั้นก็สามารถรับรู้ได้</p> <p class="text-align-left"><img alt="content-traget" class="img-responsive" data-entity-type="file" data-entity-uuid="-" src="/sites/storage/files/users/staff/blog/knowledge/3.png" title="content-traget" width="1200" /></p> <p class="text-align-left">&nbsp;</p> <p><strong>4. Machine Learning chatbots (แมชชีนเลิร์นนิ่งแชทบอท)</strong></p> <p>หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า AI Chatbot เป็นแชทบอทที่ Advance ที่สุด เนื่องจากมีการใช้ Machine Learning และ AI ที่จดจำและเรียนรู้ได้เองจากคำถามที่เคยถูกถาม พร้อมทั้งยังพัฒนาตัวเองไปอีก ปัจจุบันแชทบอทรูปแบบนี้ได้รับความนิยมมาก เพราะมีความฉลาดและเข้าใจภาษาของมนุษย์ได้ดีในระดับหนึ่ง ทำให้มีการแสดงผลลัพธ์ที่มีความยืดหยุ่น แต่มีข้อจำกัดในเรื่องของการใช้เวลานาน และมีต้นทุนในการสร้างสูง พร้อมกับต้องการใช้ข้อมูลในปริมาณมหาศาล อีกทั้งยังจำเป็นต้องมีทีมวิศวกรข้อมูลด้วย</p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>5. The hybrid model (ไฮบริดแชทบอท)</strong></p> <p>เป็นแชทบอทในรูปแบบที่นำเอาแชทบอทในรูปแบบต่าง ๆ มาผสมผสานเข้าด้วยกัน คือเป็นการนำเอาข้อดีของแชทบอทแต่ละประเภทมาใช้งาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงาน และยังลดความซับซ้อนอีกด้วย แชทบอทรูปแบบนี้จะสามารถเข้าใจในรายละเอียดได้ดี ถึงแม้ว่าลูกค้าจะพิมพ์ผิด หรือพิมพ์ไม่ครบก็ตาม ทั้งยังเป็นการสร้างสมดุลให้กับระบบอีกด้วย เนื่องจากรูปแบบ hybrid นี้จะมีการประมวลผลทั้งในส่วนที่ถูกสั่งให้ทำตามเงื่อนไข หรือว่าข้อกำหนดที่ทางแอดมินผู้ดูแลแชทบอทกำหนดไว้ ดังนั้น ในยุคของดิจิทัลแชทบอทรูปแบบนี้จะเป็นเครื่องมือสื่อสารที่มีอิทธิพลมากแน่นอน</p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>6. Voice bots (วอยซ์บอท)</strong></p> <p>แชทบอทที่แตกต่างจากประเภทอื่น คือ แชทบอทที่การใช้งานในรูปแบบของการใช้เสียง ยกตัวอย่าง Voice bot ที่มีอยู่ในตอนนี้อย่างเช่น Siri ของผลิตภัณฑ์ Apple หรือว่า Google Assistance ของ Google โดยแชทบอทรูปแบบนี้จะมีการโต้ตอบที่ดีขึ้น มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น โดยที่ผู้ใช้งานจะสามารถสั่งการได้ด้วยเสียง และ chatbot จะประมวลคำตอบแล้วตอบกลับเรามาเป็นเสียงนั่นเอง</p> <p class="text-align-left"><img alt="content-traget" class="img-responsive" data-entity-type="file" data-entity-uuid="-" src="/sites/storage/files/users/staff/blog/knowledge/2.png" title="content-traget" width="1200" /></p> <p>สำหรับเจ้าของธุรกิจ ที่กำลังมองหา Chatbot ที่จะมาเป็นตัวช่วยตอบคำถามอัตโนมัติให้กับลูกค้าออนไลน์ Yellow Pages เรามีบริการโปรแกรมสำหรับตอบโต้และให้ข้อมูลสินค้าเบื้องต้นสำหรับลูกค้าโดยหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และยังสามารถเพิ่มรูปแบบคำถาม-คำตอบล่วงหน้า ช่วยตอบคำถามในตอนฉุกเฉิน ช่วยลดต้นทุนในการจ้างพนักงานราวกับมีลูกจ้างเฝ้าหน้าเว็บไซต์ตลอดเวลา สนใจบริการแชทบอทราคาพิเศษ โทร 02-262-8888 ต่อ 8686 หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้<a href="https://seo.yellowpages.co.th/catalog/item/Chatbot-สำหรับดูแลลูกค้าอัตโนมัติ-pd8c1BG" rel="noreferrer noopener" target="_blank" title="https://seo.yellowpages.co.th/catalog/item/Chatbot-สำหรับดูแลลูกค้าอัตโนมัติ-pd8c1BG">ที่นี่</a></p> <p class="text-align-left">&nbsp;</p> <p class="text-align-left"><a href="https://seo.yellowpages.co.th/catalog/item/Chatbot-สำหรับดูแลลูกค้าอัตโนมัติ-pd8c1BG" target="_blank"><img alt="Chatbot สำหรับดูแลลูกค้าอัตโนมัติ | รับทำ SEO คุณภาพ รูปแบบเว็บไซต์การตลาดออนไลน์ YellowPages Online" class="img-responsive" src="/sites/storage/files/users/staff/blog/knowledge/bn-yp-service-chatbot.png" title="Chatbot สำหรับดูแลลูกค้าอัตโนมัติ | รับทำ SEO คุณภาพ รูปแบบเว็บไซต์การตลาดออนไลน์ YellowPages Online" width="1200" /> </a></p> <p class="text-align-left">&nbsp;</p> <p class="text-align-left"><strong>อ้างอิง</strong><br /> <a href="https://iconext.co.th/th/2022/01/27/chatbot-คืออะไรประโยชน์และตัว/" rel="noreferrer noopener" target="_blank" title="https://iconext.co.th/th/2022/01/27/chatbot-คืออะไรประโยชน์และตัว/">https://iconext.co.th/th/2022/01/27/chatbot-คืออะไรประโยชน์และตัว/ </a><br /> <a href="https://www.beryl8.com/th/newsroom/insights/70/4-เหตุผลว่าทำไม-chatbot-ที่ขับเคลื่อนด้วย-ai-อย่าง-bo-จึงช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าได้อย่างน่ามหัศจรรย์" rel="noreferrer noopener" target="_blank" title="https://www.beryl8.com/th/newsroom/insights/70/4-เหตุผลว่าทำไม-chatbot-ที่ขับเคลื่อนด้วย-ai-อย่าง-bo-จึงช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าได้อย่างน่ามหัศจรรย์">https://www.beryl8.com/th/newsroom/insights/70/4-เหตุผลว่าทำไม-chatbot-ที่ขับเคลื่อนด้วย-ai-อย่าง-bo-จึงช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าได้อย่างน่ามหัศจรรย์ </a><br /> <a href="https://software.1moby.com/line-customize-blog/6-ประเภทแชทบอท-เทคโนโลยี-2/" rel="noreferrer noopener" target="_blank" title="https://software.1moby.com/line-customize-blog/6-ประเภทแชทบอท-เทคโนโลยี-2/">https://software.1moby.com/line-customize-blog/6-ประเภทแชทบอท-เทคโนโลยี-2/</a><br /> <a href="https://www.twfdigital.com/blog/2019/04/3-types-of-chatbot-and-how-to-choose-them/" rel="noreferrer noopener" target="_blank" title="https://www.twfdigital.com/blog/2019/04/3-types-of-chatbot-and-how-to-choose-them/">https://www.twfdigital.com/blog/2019/04/3-types-of-chatbot-and-how-to-choose-them/</a><br /> <a href="https://www.kamonnat-ai.com/2021/10/02/มาดูกันว่า-chatbot-มีกี่ประเภท/" rel="noreferrer noopener" target="_blank" title="https://www.kamonnat-ai.com/2021/10/02/มาดูกันว่า-chatbot-มีกี่ประเภท/">https://www.kamonnat-ai.com/2021/10/02/มาดูกันว่า-chatbot-มีกี่ประเภท/ </a><br /> <a href="https://www.scimath.org/article-technology/item/10452-chatbot" rel="noreferrer noopener" target="_blank" title="https://www.scimath.org/article-technology/item/10452-chatbot">https://www.scimath.org/article-technology/item/10452-chatbot </a><br /> <a href="https://www.powersmethai.com/sme-article/chatbot-ผู้ช่วยทางเลือก-เทรนด์/" rel="noreferrer noopener" target="_blank" title="https://www.powersmethai.com/sme-article/chatbot-ผู้ช่วยทางเลือก-เทรนด์/">https://www.powersmethai.com/sme-article/chatbot-ผู้ช่วยทางเลือก-เทรนด์/</a><br /> <a href="https://www.oho.chat/blog/chatbot-must-have-innovation-for-digitalbusniess" rel="noreferrer noopener" target="_blank" title="https://www.oho.chat/blog/chatbot-must-have-innovation-for-digitalbusniess">https://www.oho.chat/blog/chatbot-must-have-innovation-for-digitalbusniess </a><br /> <a href="https://www.tnt.co.th/news/178-AI-chatbot-digital-tools-for-business" rel="noreferrer noopener" target="_blank" title="https://www.tnt.co.th/news/178-AI-chatbot-digital-tools-for-business">https://www.tnt.co.th/news/178-AI-chatbot-digital-tools-for-business</a></p> </div> Thu, 25 Jan 2024 07:54:11 +0000 admin 1178 at https://www.yellowpages.co.th โซลาร์เซลมีกี่ชนิด พร้อมวิธีติดตั้งโซลาร์เซลล์ให้คุ้มค่าที่สุด https://www.yellowpages.co.th/blog/knowledge/installing-solar-panels <span>โซลาร์เซลมีกี่ชนิด พร้อมวิธีติดตั้งโซลาร์เซลล์ให้คุ้มค่าที่สุด</span> <span><span lang="" about="/user/1" typeof="schema:Person" property="schema:name" datatype="">admin</span></span> <span>พฤ, 06/01/2023 - 09:27</span> <div class="field field--name-body field--type-text-with-summary field--label-hidden field--item"><p>เชื่อว่าหลายคนเริ่มหันมาสนใจการติดตั้งหลังคาโซลาร์เซลล์ (Solar Cell) ส่วนหนึ่งเพราะมีการให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานสะอาด แต่อีกส่วนหนึ่งนั้นก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของความคุ้มค่าที่ได้จากการติดโซลาร์เซลล์ (Solar Cell) ที่ต้องการจะลดค่าไฟในแต่ละเดือน ปัจจุบันการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ประโยชน์ อาจจำแนกได้ 2 ประเภทหลัก ๆ คือ การผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ และการผลิตไฟฟ้าด้วยความร้อนจากแสงอาทิตย์ ซึ่งการผลิตไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์ที่สามารถนำมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับประเทศไทย คือ การใช้เซลล์อาทิตย์ (solar cell) ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำหรับเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้า ซึ่งเราสามารถแบ่งชนิดของเซลล์แสงอาทิตย์ ตามวัสดุที่ใช้ได้ถึง 3 ชนิดหลัก ๆ</p> <p>&nbsp;</p> <p class="text-align-left"><img alt="content-traget" class="img-responsive" data-entity-type="file" data-entity-uuid="-" src="/sites/storage/files/users/staff/blog/knowledge/%E0%B9%82%E0%B8%8B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94.png" title="content-traget" width="1200" /></p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>3 ชนิด ของโซลาร์เซลล์</strong></p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;<strong>1.แผงโซลาร์เซลล์แบบโมโนคริสตัลไลน์ (Monocrystalline Solar Cells)</strong> มีลักษณะเป็นช่องสี่เหลี่ยมตัดมุมเรียงต่อกัน แผงโซลาร์เซลล์ชนิดนี้ผลิตจากซิลิคอนที่มีความบริสุทธิ์สูง ใช้ซิลิคอนชิ้นเดียวในการผลิตเซลล์แต่ละชิ้น ทำให้ประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าสูงตามไปด้วย และมีอายุการใช้งานยาวนานที่สุด สามารถใช้ได้นานมากกว่า 25 ปี</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;<strong>2. แผงโซลาร์เซลล์แบบโพลีคริสตัลไลน์ (Polycrystalline Solar Cells)</strong> มีคุณภาพรองลงมาจากแผงโมโน การผลิตแผงโพลีจะใช้ซิลิคอนอัดรวมกันเป็นแผง ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าจะอยู่ที่ 15-19% มีประสิทธิภาพต่างกับแผงโมโนไม่มากนัก ข้อดีคือมีราคาถูกกว่า และยังช่วยลดการทิ้งขยะเศษเหลือของซิลิคอนระหว่างผลิต นอกจากนี้มีอายุการใช้งานประมาณ 20 ปี</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;<strong>3. แผงโซลาร์เซลล์แบบอมอร์ฟัส (Amorphous Solar Cells)</strong> แผงแบบอมอร์ฟัสเป็นประเภทที่ไม่ได้ใช้ซิลิคอนผลิต แต่เป็นการใช้ Thin Film Technology เคลือบ “สาร” ที่สามารถเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นไฟฟ้าไว้บนแผงที่ทำมาจากแก้วหรือพลาสติก หน้าตาของแผงจะมีลายเส้นตรงถี่ ๆ เรียงต่อกัน ข้อดีคือมีราคาถูกที่สุด และสามารถทำงานได้แม้จะอยู่ในที่แสงน้อย ทำให้ถูกนำไปปรับใช้กับพื้นที่ที่มีความโค้งมน แต่มีข้อสังเกตุในด้านประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าของแผงอมอร์ฟัสจะมีไม่สูงนัก รวมทั้งอายุการใช้งานสั้นประมาณ 5 ปี</p> <p>&nbsp;</p> <p class="text-align-left"><img alt="content-traget" class="img-responsive" data-entity-type="file" data-entity-uuid="-" src="/sites/storage/files/users/staff/blog/knowledge/ติดตั้งโซล่าเซล์อย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด.png" title="content-traget" width="1200" /></p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>ติดแผงโซลาร์เซลล์ยังไงให้คุ้มค่าที่สุด</strong></p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp; <strong>1.หลังคาบ้านโซล่าเซลล์ (Solar Cell) ลดค่าไฟได้จริงไหม?</strong><br /> การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ (Solar Cell) สามารถช่วยลดค่าไฟได้จริง แต่จะคุ้มทุน-คืนทุนเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับขนาดของระบบโซลาร์ (Solar) และพฤติกรรมการใช้ไฟของเจ้าของบ้านแต่ละหลัง บ้านที่มีการติดตั้งระบบโซลาร์ขนาดใหญ่และใช้ไฟฟ้ามากย่อมคืนทุนเร็วกว่าบ้านที่มีการใช้ไฟฟ้าน้อย แต่ทั้งนี้ต้องเป็นบ้านที่ใช้ไฟกลางวันเป็นหลัก ผลิตไฟฟ้าได้แล้วใช้เลยจึงจะคุ้มค่ามากที่สุด</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp; <strong>2.บ้านแบบไหนที่เหมาะกับการติดโซลาร์</strong><br /> โซลาร์เซลล์บ้านพักอาศัย ที่มีพ่อแม่อยู่บ้าน กลุ่มวัยเกษียณอายุที่อยู่บ้านในช่วงกลางวัน กลุ่มคนที่ทำงานที่บ้าน (Work from home) สำนักงาน/โฮมออฟฟิศ หรือแม้แต่ร้านอาหารที่ใช้ไฟกลางวันก็เหมาะสมเป็นอย่างมาก “หลังคาบ้านโซล่าเซลล์ (Solar Cell)” ระบบ On grid คือ การผลิตไฟฟ้าช่วงกลางวันแล้วใช้เลย และควรมีค่าไฟขั้นต่ำ 3,000 บาท</p> <p>&nbsp;</p> <p class="text-align-left"><a href="https://www.yellowpages.co.th/heading/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B9%8C" target="_blank"><img alt="ร้านติดตั้งหลังคาไวนิลที่ได้รับการยืนยันตัวตนจาก Thailand YellowPages" class="img-responsive" src="/sites/storage/files/users/staff/blog/knowledge/aw-รวมบริษัทที่ให้บริการติดตั้งโซลาร์เซลล์.jpg" title="ร้านติดตั้งหลังคาไวนิลที่ได้รับการยืนยันตัวตนจาก Thailand YellowPages" width="1200" /> </a></p> <p>&nbsp;</p> <p>รวมบริษัทที่ให้บริการติดตั้งโซลาร์เซลล์ โซลาร์รูฟ อุปกรณ์เปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นไฟฟ้า ที่ได้รับการยืนยันตัวตนจาก <a href="https://www.yellowpages.co.th/heading/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B9%8C" target="_blank">Thailand YellowPages คลิก</a>&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> <p class="text-align-left">ที่มา <a href="https://www.epco.co.th/departmentofenergybusiness.php" rel="noreferrer noopener" target="_blank" title="https://www.epco.co.th/departmentofenergybusiness.php">EASTERN POWER GROUP </a>, <a href="https://energy.go.th/th/provincial-energy-activity/29841" rel="noreferrer noopener" target="_blank" title="https://energy.go.th/th/provincial-energy-activity/29841">กระทรวงพลังงาน </a>, <a href="https://www.scgbuildingmaterials.com/th/ideas/tips-and-tricks/%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%8B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B9%8C%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94" rel="noreferrer noopener" target="_blank" title="https://www.scgbuildingmaterials.com/th/ideas/tips-and-tricks/%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%8B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B9%8C%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94">SCG </a></p> </div> Thu, 01 Jun 2023 02:27:37 +0000 admin 1069 at https://www.yellowpages.co.th B2B E-commerce ดีอย่างไรสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก https://www.yellowpages.co.th/blog/marketing/b2b-e-commerce <span>B2B E-commerce ดีอย่างไรสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก</span> <span><span lang="" about="/user/1" typeof="schema:Person" property="schema:name" datatype="">admin</span></span> <span>อ, 04/18/2023 - 09:48</span> <div class="field field--name-body field--type-text-with-summary field--label-hidden field--item"><p>ในยุคที่โลกดิจิทัลได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ผู้คนซึ่งไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจหรือผู้บริโภค ก็สามารถเข้าถึงข้อมูลและสิ่งที่ต้องการผ่านอินเทอร์เน็ตได้ด้วยปลายนิ้ว จากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุไว้ว่า ในช่วง 3 ปีทีผ่านมา ตลาด E-Commerce เติบโตเฉลี่ยถึง 26% ต่อปี</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;ในปี 2565 ตลาด E-Commerce ในประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึง 900,900 ล้านบาท ดังนั้นแล้ว ในบทความนี้ เราจะมาสำรวจ 4 ข้อดีของ B2B E-Commerce สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก นั้นคือ ช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวางมากขึ้น, ช่วยลดต้นทุน แต่เพิ่มผลงานที่ได้, มีข้อมูลเชิงลึกช่วยในการตัดสินใจ และลดความลำบากในการสื่อสาร</p> <p>&nbsp;</p> <p class="text-align-left"><img alt="01-content-ช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวางมากขึ้น" class="img-responsive" data-entity-type="file" data-entity-uuid="-" src="/sites/storage/files/users/staff/blog/marketing/01-content-ช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวางมากขึ้น.png" title="01-content-ช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวางมากขึ้น" width="1200" /></p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>1.ช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวางมากขึ้น</strong><br /> &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;ในการค้าขายโดยที่ปราศจากอินเทอร์เน็ตนั้น ลูกค้าจะสามารถซื้อสินค้าจากเราได้ก็ต่อเมื่อลูกค้าเดินทางมาที่หน้าร้านของเรา ทำให้กลุ่มลูกค้าของเราถูกจำกัดอยู่ในวงแคบ ๆ คือคนในบริเวณใกล้เคียง หรือคนที่เดินทางผ่านไปผ่านมาเท่านั้น<br /> &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;แต่การนำธุรกิจขึ้นบนแพลตฟอร์ม B2B E-Commerce นั้น เป็นการทำให้ลูกค้าสามารถที่จะรู้จัก เข้าถึง และซื้อสินค้าและบริการเราได้มากขึ้น โดยที่ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงระยะทาง เพราะการนำธุรกิจของเราขึ้นไปบนโลกออนไลน์นั้น จะทำให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทุกคนสามารถค้นหาสินค้าและบริการของเราจาก Search Engine ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Google, Bing หรือ Yahoo ได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนนั่นเอง</p> <p>&nbsp;</p> <p class="text-align-left"><img alt="02-content-ลดต้นทุนแต่เพิ่มผลงานที่ได้" class="img-responsive" data-entity-type="file" data-entity-uuid="-" src="/sites/storage/files/users/staff/blog/marketing/02-content-ลดต้นทุนแต่เพิ่มผลงานที่ได้.png" title="02-content-ลดต้นทุนแต่เพิ่มผลงานที่ได้" width="1200" /></p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>2.ลดต้นทุน แต่เพิ่มผลงานที่ได้</strong><br /> &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;เดิมที ในกระบวนการซื้อขาย การจัดทำใบเสนอราคา ใบสั่งซื้อสินค้า รวมถึงบิลต่าง ๆ จำเป็นต้องบันทึกลงไปบนกระดาษ อีกทั้งจำเป็นจะต้องใช้คนในการดำเนินการหลายขั้นตอน สิ้นเปลืองทั้งกระดาษ คน และเวลา<br /> &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;การนำธุรกิจขึ้นบนแพลตฟอร์ม B2B E-Commerce จะทำให้งานเหล่านี้สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว มีการเก็บข้อมูลเป็นดิจิทัล และสามารถทำได้โดยใช้คนไม่มาก ทำให้สามารถประหยัดค่ากระดาษ ประหยัดพื้นที่สำหรับจัดเก็บเอกสาร ประหยัดเวลา อีกทั้งยังประหยัดทรัพยากรมนุษย์ ทำให้ธุรกิจเราสามารถโยกย้ายพนักงานไปทำงานในส่วนอื่น ๆ ที่จะช่วยพัฒนาธุรกิจของเราได้นั่นเอง<br /> &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;นอกเหนือจากส่วนของพนักงานแล้ว B2B E-Commerce ช่วยส่งเสริมความพึงพอใจของลูกค้าได้เช่นกัน เนื่องจาก B2B E-Commerce สามารถทำให้บริษัทสามารถบริหารจัดการ และให้บริการลูกค้าในจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว อีกทั้งข้อมูลการซื้อขายทั้งหมดถูกเก็บเอาไว้บนแพลตฟอร์ม สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ตลอด ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มความสะดวกสบายอีกด้วย</p> <p>&nbsp;</p> <p class="text-align-left"><img alt="03-content-มีข้อมูลเชิงลึกช่วยในการตัดสินใจ" class="img-responsive" data-entity-type="file" data-entity-uuid="-" src="/sites/storage/files/users/staff/blog/marketing/03-content-มีข้อมูลเชิงลึกช่วยในการตัดสินใจ.jpg" title="03-content-มีข้อมูลเชิงลึกช่วยในการตัดสินใจ" width="1200" /></p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>3.มีข้อมูลเชิงลึกช่วยในการตัดสินใจ</strong><br /> &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;ในการทำธุรกิจบนแพลตฟอร์ม B2B E-Commerce จะมีเครื่องมือที่ช่วยเก็บข้อมูลเชิงลึกต่าง ๆ เช่น ข้อมูลการเยี่ยมชมเว็บไซต์ ข้อมูลจากกลลยุทธ์การตลาด ประสิทธิภาพในการขาย พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค รวมไปถึงการจัดการสินค้าคงคลัง ซึ่งธุรกิจขนาดเล็กสามารถนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์เหล่านี้มาช่วยในการปรับปรุงการดำเนินธุรกิจให้ดีขึ้น ให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย หรือนำมาเป็นแนวทางการตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์ทางธุรกิจในอนาคตได้ อย่างไรก็ตาม การที่จะนำข้อมูลเชิงลึกมาใช้นั้น ก็ต้องพิจารณาและเลือกมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับความต้องการของธุรกิจนั้น ๆ ด้วย<br /> &nbsp;</p> <p><strong>4.ลดความยากลำบากในการสื่อสาร</strong><br /> &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;การทำ B2B E-commerce บนแพลตฟอร์มนั้นมีข้อดีคือ มีภาษาให้เราเลือกใช้มากมาย ซึ่งเราสามารถใช้โอกาสนี้ ในการขยายฐานลูกค้าไปยังหลาย ๆ ประเทศ ที่ใช้ภาษาที่แตกต่างกัน รวมไปถึงอาจจะเพิ่มช่องทางการชำระเงินระหว่างประเทศได้อีกด้วย ซึ่งทำให้เรามีฐานลูกค้ากระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก นำมาสู่รายได้ที่มากขึ้น โดยที่ใช้ต้นทุนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของข้อดีที่เกิดจากการทำ B2B E-Commerce ถ้าหากลองไปศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม แล้วนำไอเดียที่ได้มาเลือกประยุกต์ใช้ให้เข้ากับกลยุทธ์การตลาดของเรา คงจะส่งผลดีต่อธุรกิจของเราไม่มากก็น้อย</p> <p>&nbsp;</p> <p class="text-align-left"><strong>อ้างอิง</strong></p> <p class="text-align-left"><a href="https://portal.settrade.com/brokerpage/IPO/Research/upload/2000000450449/3361.pdf" rel="noreferrer noopener" target="_blank" title="https://portal.settrade.com/brokerpage/IPO/Research/upload/2000000450449/3361.pdf">https://portal.settrade.com/brokerpage/IPO/Research/upload/2000000450449/3361.pdf</a><br /> <a href="https://global.hitachi-solutions.com/blog/8-ways-b2b-ecommerce-platforms-save-time-money/" rel="noreferrer noopener" target="_blank" title="https://global.hitachi-solutions.com/blog/8-ways-b2b-ecommerce-platforms-save-time-money/">8 Ways B2B Ecommerce Platforms Save Time &amp; Money – Hitachi Solutions (hitachi-solutions.com)</a><br /> <a href="https://www.coredna.com/blogs/b2b-ecommerce-benefits#language" rel="noreferrer noopener" target="_blank" title="https://www.coredna.com/blogs/b2b-ecommerce-benefits#language">https://www.coredna.com/blogs/b2b-ecommerce-benefits#language</a><br /> <a href="https://www.shopify.com/enterprise/b2b-ecommerce-benefits-advantages#:~:text=Shifting%20to%20B2B%20ecommerce%20allows,B2B%20buyers%20to%20self%2Dserve." rel="noreferrer noopener" target="_blank" title="https://www.shopify.com/enterprise/b2b-ecommerce-benefits-advantages#:~:text=Shifting%20to%20B2B%20ecommerce%20allows,B2B%20buyers%20to%20self%2Dserve.">8 Advantages of B2B Ecommerce: The Benefits of Taking B2B Sales Online (2023) (shopify.com)</a><br /> <a href="https://www.optimizely.com/insights/blog/10-benefits-of-b2b-ecommerce/" rel="noreferrer noopener" target="_blank" title="https://www.optimizely.com/insights/blog/10-benefits-of-b2b-ecommerce/">10 benefits of a B2B ecommerce website - Optimizely</a></p> </div> <div class="field field--name-field-banner field--type-image field--label-above"> <div class="field--label">Banner</div> <div class="field--item"> <img alt="B2B E-commerce ดีอย่างไรสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก" src="/sites/storage/files/2023-04/B2B-E-commerce-%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81.jpg" width="1200" height="600" typeof="foaf:Image" class="img-responsive" /> </div> </div> Tue, 18 Apr 2023 02:48:45 +0000 admin 1031 at https://www.yellowpages.co.th สาระน่ารู้ของฝน ที่ทำให้คนเหงา https://www.yellowpages.co.th/blog/knowledge/story-of-rain <span>สาระน่ารู้ของฝน ที่ทำให้คนเหงา</span> <span><span lang="" about="/user/1539316" typeof="schema:Person" property="schema:name" datatype="">Chanpiwat</span></span> <span>พฤ, 10/06/2022 - 16:33</span> <div class="field field--name-body field--type-text-with-summary field--label-hidden field--item"><p>อย่างที่เรารู้กันว่า ฝน คือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะช่วงหน้าฝนที่ตกทุกวันและจะมีโอกาสตกมากเป็นพิเศษช่วงผู้คนเลิกงานกลับบ้าน! วันนี้เราจะมาแชร์เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับฝน ที่ทำให้คนเหงากันจ้า&nbsp;</p> <ul class="text-align-left"> <li>อย่างแรกคือ ฝน ไม่ได้มีรูปทรงเหมือน หยดน้ำ อย่างที่เราคิด หน้าตาของเม็ดฝนจริง จะเป็นรูปทรงที่ เกือบจะเป็นทรงกลม รูปทรงจะคล้ายกับขนมปังด้านบนของเบอร์เกอร์ที่พวกเราทานกัน<br /> &nbsp;</li> <li>การที่เราได้กลิ่นที่ได้รับแล้วจะรู้สึกถึงฝนที่กำลังจะตก นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เนื่องจาก Petricor ที่เราเรียกกันหมายถึงกลิ่นลักษณะเฉพาะเมื่อฝนตกลงมา กลิ่นที่ปรากฎในอากาศทำให้เรารับรู้ถึงกลิ่นนั่น เกิดจากโมเลกุลที่ชื่อว่า Geosmin ซึ่งเป็นสารประกอบที่ทำหน้าที่ในการหลั่งแบคทีเรียนับล้านเมื่อฝนตกลงมาสู่พื้นโลก&nbsp;<br /> &nbsp;</li> <li class="text-align-left">ช่วงที่ฝนตก จะส่งผลต่อความอยากอาหารของเราที่กระตุ้นให้เรารู้สึก&nbsp;<font color="red">“ อยากกินมากขึ้น ”</font> เนื่องจาก เมื่อฝนตกจะทำให้ร่างกายเราขาดสารเซโรโทนินที่พบได้ในแสงแดด ส่งผลให้เราจะรู้สึกกระหาย อยากได้รับคาร์โบไฮเดรตมากขึ้น นั่นจะทำให้เราอยากอาหารประเภทนี้มากขึ้นและจะมีความสุขเมื่อได้รับด้วย&nbsp;<br /> &nbsp;<br /> <img alt="สาระน่ารู้ของฝนที่ทำให้คนเหงา ภาพประกอบ" class="img-responsive" data-entity-type="file" data-entity-uuid="-" src="/sites/storage/files/content/2022/10/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9D%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%B2%20%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A.jpg" title="สาระน่ารู้ของฝนที่ทำให้คนเหงา ภาพประกอบ" width="5000" /><br /> &nbsp;</li> <li class="text-align-left">ฝนตกไม่ได้ทำให้เป็นหวัดไปซะทีเดียว อย่างที่เราเข้าใจว่าถ้าโดนฝนจะทำให้ไม่สบาย เป็นไข้หวัด นั่นไม่ได้ผิดไปซะหมด การเป็นไข้หวัดเกิดจากได้รับเชื้อไวรัสบริเวณทางเดินหายใจส่วนต้น นั่นแสดงให้เห็นว่า ลำพังฝนไม่สามารถทำให้ <font color="red">“ เป็นหวัด ”</font> ได้ เพียงแต่ว่าในขณะที่ฝนตก จะมีทั้งลมทั้งฝนที่พัดพาเชื้อไวรัสมาทางอากาศ และด้วยอุณหภูมิที่ต่ำลง เป็นสาเหตุที่ทำให้ไวรัสบางตัวเจริญเติบโตได้ดี เป็นผลที่ทำให้เป็นหวัดได้<br /> ดังนั้น เพื่อป้องกันไวรัสสำหรับทางเดินหายใจอย่างง่ายก็ควรต้องใส่&nbsp;<a href="https://www.yellowpages.co.th/ypsearch?qc=หน้ากากอนามัย">หน้ากากอนามัย</a>&nbsp;สำหรับการดำเนินชีวิตประจำวัน แม้กระทั่งบริเวณบ้านก็ใส่ได้และเพื่ออากาศที่บริสุทธิ์ ก็ควรที่จะมี&nbsp; <a href="https://www.yellowpages.co.th/heading/เครื่องฟอกอากาศ">เครื่องฟอกอากาศ</a>&nbsp;ติดประจำบ้านกันด้วยนะ&nbsp;<br /> &nbsp;</li> <li class="text-align-left"> <p class="text-align-left">ทำไมฝนตกแล้วหลับสบายนะ? นั่นไม่ได้เป็นความรู้สึกที่ว่าคิดไปเอง หรืออุปทานแต่ใด ๆ เนื่องจากว่าเสียงฝนที่ตกเป็นจังหวะ เสียงที่กระทบกับวัตถุต่างๆ เสียงฟ้าร้องบางจังหวะ นั่นเพราะเสียงฝนมีจังหวะความถี่ที่ช่วยทำให้เราหลับได้ดีขึ้นจริง ซึ่งเป็นการช่วยลด แบ่งเบาการทำงานในสมองระหว่างที่เรานอนลงได้&nbsp;<br /> <br /> <img alt="สาระน่ารู้ของฝน ที่ทำให้คนเหงา ภาพประกอบ 2" class="img-responsive" data-entity-type="file" data-entity-uuid="-" src="/sites/storage/files/content/2022/10/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9D%E0%B8%99%20%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%B2%20%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A%202.jpg" title="สาระน่ารู้ของฝน ที่ทำให้คนเหงา ภาพประกอบ 2" width="8660" /><br /> &nbsp;</p> </li> <li class="text-align-left"> <p class="text-align-left">เห็นกันไหมว่าสิ่งเล็ก ๆ อย่าง <strong>“ ฝน ”</strong> ก็มีเรื่องที่น่าสนใจและความพิเศษของตัวเอง ตัวเราก็เช่นกัน แม้ว่าจะไม่ได้เก่งไปทุกอย่าง แต่เราก็ยังมีความพิเศษที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเราสามารถเรียนรู้ทุกอย่างรอบตัวได้ตามที่เราต้องการ เพียงแค่เราต้อง <strong>“ สนใจ ”</strong> และ <strong>“ ใส่ใจ ”</strong> กับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ก็เพียงพอแล้ว<br /> <br /> ที่มา<br /> <a href="https://www.mangozero.com/things-to-know-about-rain/" rel="noreferrer noopener" target="_blank" title="https://www.mangozero.com/things-to-know-about-rain/">https://www.mangozero.com/things-to-know-about-rain/</a>&nbsp;<br /> <br /> <a href="https://www.scholarship.in.th/10-weird-facts-about-rain/" rel="noreferrer noopener" target="_blank" title="https://www.scholarship.in.th/10-weird-facts-about-rain/">https://www.scholarship.in.th/10-weird-facts-about-rain/</a>​</p> </li> </ul> </div> Thu, 06 Oct 2022 09:33:39 +0000 Chanpiwat 904 at https://www.yellowpages.co.th กลยุทธ์การตลาด ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่ จาก 4P’s สู่ 4E’s https://www.yellowpages.co.th/blog/marketing/4E-Marketing-Strategy <span>กลยุทธ์การตลาด ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่ จาก 4P’s สู่ 4E’s</span> <span><span lang="" about="/user/1537313" typeof="schema:Person" property="schema:name" datatype="">AdminCreators</span></span> <span>ศ, 06/10/2022 - 16:21</span> <div class="field field--name-body field--type-text-with-summary field--label-hidden field--item"><p>กลยุทธ์การตลาดที่เราคุ้นเคยกันมาตลอดนั่นก็คือ 4P’s ประกอบด้วย Product, Price, Place และ Promotion ซึ่งเป็นพื้นฐานหรือจุดเริ่มต้นของการทำการตลาดที่ใครๆก็น่าจะรู้จักเป็นอย่างดี แต่ด้วยยุคสมัยและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปทำให้ 4P’s นั้นอาจดูล้าสมัยไปบ้างแล้ว จึงจำเป็นต้องมีการปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบันสู่กลยุทธ์การตลาดแบบ 4E’s นั่นเอง และกลยุทธ์การตลาดแบบ 4E’s เราจึงอยากมาเล่าให้ฟังว่าหลักการนี้คืออะไร</p> <p class="text-align-left"><img alt="4p-4e" class="img-responsive" data-entity-type="file" data-entity-uuid="-" height="600" src="/sites/storage/files/content/2022/06/4p-4e.jpg" title="4p-4e" width="1200" /></p> <p><b>1. Product &gt;&gt; “Experience”</b></p> <p><b>Experience </b>จากการขายคุณสมบัติของตัวสินค้า (Product) เมื่อในอดีตก็ได้ถูกพัฒนาและให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ (Experience) ให้กับผู้ใช้สินค้า ซึ่งประสบการณ์นั้นจะเป็นทั้งความสุข ผลลัพธ์ที่ตรงตามความคาดหมายหรือมากกว่าความคาดหมาย รวมถึงความภาคภูมิใจที่ได้จากการใช้สินค้านั้นๆ และยังรวมไปถึงบรรยากาศแวดล้อมต่างๆ เช่น บรรยกาศภายในร้านค้า ความใส่ใจของพนักงาน รวมถึงการบริการ เป็นต้น</p> <p>ทุกวันนี้ผู้บริโภคไม่ได้คาดหวังแค่สินค้าหรือบริการเท่านั้น ตัวอย่างที่เห็นกันง่ายๆ คือทำไมบางคนถึงยอมจ่ายเงินซื้อรถหรูหลักหลายล้าน หรือเลือกจ่ายแพงกว่าเพื่อนั่งเครื่องบินระดับ First class นั่นเป็นเพราะต้องการประสบการณ์ที่ดีกว่า สะดวกสบายกว่าและสร้างความสุขได้มากกว่า ซึ่งประสบการณ์ที่ว่านี้มาจากการนำเสนอภาพลักษณ์ของแบรนด์และการสร้างความรู้สึกเกี่ยวข้องกับบริษัท ดังนั้นการเอาชนะคู่แข่งทางการตลาดในยุคนี้คงไม่พ้นเรื่องของการ “สร้างประสบการณ์” เพื่อให้เกิดผลลัพธ์แบบที่ผู้บริโภคจะต้อง “หลงรัก” และอยู่กับเราไปยาวนาน</p> <p><b>2. Price &gt;&gt; “Exchange”</b></p> <p><b>Exchange </b>จากการวางกลยุทธ์ด้านราคา (Price) เมื่อในอดีตมาสู่การรับรู้และมีการแลกเปลี่ยนคุณค่า (Exchange Value) ของสินค้ามากกว่าการแข่งขันด้านราคา ดังนั้นคุณภาพของสินค้า ราคา และสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับนั้นต้องมีความสอดคล้องกัน ซึ่งคุณค่านั้นจะสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าของแบรนด์ด้วยเช่นเดียวกัน</p> <p>ก่อนหน้านี้การตั้งราคาสินค้ามาจากต้นทุนการผลิตเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นผู้ประกอบการจึงมักแข่งกันด้วยการลดราคาต้นทุน เพื่อให้สินค้าสามารถขายได้ในราคาที่ถูกกว่าคู่แข่งในตลาด แต่ในปัจจุบันเมื่อพฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนแปลงไป ผู้คนไม่ได้ให้ความสำคัญที่ราคาเป็นหลัก แต่หันไปให้ความสนใจเรื่อง “ความคุ้มค่า” มากกว่า เปรียบเหมือนกับการแลกเปลี่ยนความพึงพอใจของทั้งสองฝ่ายระหว่างตัวธุรกิจและผู้บริโภค ซึ่งไม่ว่าสินค้าราคาเท่าไหร่ แต่ถ้าผู้บริโภคชั่งใจแล้วว่าคุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไป ก็ย่อมอยากซื้อสินค้านั้นๆ</p> <p><b>3. Place &gt;&gt; “Everywhere”</b></p> <p><b>Everywhere</b>ด้วยการเข้ามาของโลกออนไลน์ทำให้มีช่องทางการขาย (Place) ที่หลากหลายมากขึ้นในการซื้อสินค้าหรือบริการ และมันเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายมากขึ้น ดังนั้นการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าได้มีทางเลือกในการซื้อสินค้าจะเป็นตัวตัดสินความสำเร็จให้กับธุรกิจในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นออฟไลน์ ออนไลน์ โซเชียลมีเดียต่างๆ</p> <p>ในอดีต ถ้าอยากทำธุรกิจต้องมีหน้าร้านและมองหาทำเลเหมาะๆ สำหรับขายสินค้า แต่ในปัจจุบัน หน้าร้านอาจไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป เพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีได้เชื่อมต่อผู้ขายสินค้าและลูกค้าเข้าด้วยกัน ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการได้จากทุกหนทุกแห่งทั่วโลกเพียงแค่มีอินเทอร์เน็ต ดังนั้นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญมากที่สุดในการทำการตลาดออนไลน์ จึงเปลี่ยนจากหน้าร้านไปเป็นเว็บไซต์ อีคอมเมิร์ชแพลตฟอร์ม หรือโมบายแอปพลิเคชัน รวมไปถึงการเน้นสร้าง Customer Journey และ Experience บนออนไลน์แพลตฟอร์ม</p> <p><b>4. Promotion &gt;&gt; “Evangelism”</b></p> <p><b>Evangelism</b>โปรโมชัน (Promotion) และการลดแลกแจกแถมอาจไม่สามารถทำให้ลูกค้าเกิดความภักดีกับแบรนด์ (Brand Loyalty) หรือสินค้าไปได้ตลอด ซึ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนลูกค้าให้กลายเป็นสาวกและเกิดการบอกต่อ (Evangelism) โดยพื้นฐานนั้นต้องมาจากคุณภาพสินค้า การบริการ การดูแลลูกค้า ผสมผสานกับการจัดกิจกรรมที่ส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าได้</p> <p>การออกแคมเปญลด แลก แจก แถม แบบการตลาดสมัยก่อนอาจไม่ได้รับความนิยมมากนักในปัจจุบัน เนื่องจากผู้บริโภคยุคใหม่มักมีความพึงพอใจหรือความชอบในแบรนด์ที่บริโภคเป็นประจำอยู่แล้ว หรือที่เรียกว่า “Evangelism (สาวก)” ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็หมายถึง “Brand Loyalty” นั่นเอง ดังนั้นกลยุทธ์การชิงส่วนแบ่งตลาดแบบเดิม ๆ อาจใช้ไม่ได้ผล หากเรายังไม่สามารถเปลี่ยนลูกค้าขาจรให้กลายเป็นลูกค้าขาประจำได้</p> <p>เมื่อโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ พฤติกรรมผู้บริโภคเองก็เช่นกัน ดังนั้นกรอบการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดแบบเดิม ๆ จึงต้องปรับเปลี่ยนตามไปด้วย การนำหลักการตลาดแบบ 4E’s ซึ่งประกอบด้วย Experience, Exchange, Everywhere และ Evangalism เข้ามาใช้ จึงน่าจะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจคว้าใจผู้บริโภคและเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว</p> <br> <p><b>ที่มา:</b></p> <p><a href="https://bluebik.com/th/blogs/2671" target="_blank">https://bluebik.com/th/blogs/2671</a></p> <p><a href="https://www.popticles.com/marketing/4e-marketing-strategy/" target="_blank">https://www.popticles.com/marketing/4e-marketing-strategy/</a></p> <p><a href="https://www.wongnai.com/business-owners/4e-marketing-model" target="_blank">https://www.wongnai.com/business-owners/4e-marketing-model</a></p> <p><a href="https://blog.hurree.co/blog/experiential-marketing-4-es" target="_blank">https://blog.hurree.co/blog/experiential-marketing-4-es</a></p> <p><a href="https://www.marketingoops.com/exclusive/insider-exclusive/4es/" target="_blank">https://www.marketingoops.com/exclusive/insider-exclusive/4es/</a></p> </div> <div class="field field--name-field-banner field--type-image field--label-above"> <div class="field--label">Banner</div> <div class="field--item"> <img alt="กลยุทธ์การตลาด ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่ จาก 4P’s สู่ 4E’s" src="/sites/storage/files/2022-06/4Es-2.jpg" width="1200" height="600" typeof="foaf:Image" class="img-responsive" /> </div> </div> <div class="field field--name-field-keywords field--type-string field--label-above"> <div class="field--label">Keywords</div> <div class="field--item">กลยุทธ์การตลาด ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่ จาก 4P’s สู่ 4E’s</div> </div> Fri, 10 Jun 2022 09:21:08 +0000 AdminCreators 783 at https://www.yellowpages.co.th Knowledge Marketing 8 เทคนิคอ่านหนังสือยังไงให้เข้าหัว ! https://www.yellowpages.co.th/blog/knowledge/8-tips-to-read-books <span>8 เทคนิคอ่านหนังสือยังไงให้เข้าหัว !</span> <span><span lang="" about="/user/115923" typeof="schema:Person" property="schema:name" datatype="">Chudarak</span></span> <span>พ, 01/19/2022 - 10:28</span> <div class="field field--name-body field--type-text-with-summary field--label-hidden field--item"><p>ในการอ่านหนังสือสำหรับนักเรียน นักศึกษานั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ ร่างกายของเรา ต้องไม่ฝืนตัวเอง เพราะถ้าเราอ่านหนังสือขณะที่เราง่วงนอน มันก็จะทำให้เราอ่านไม่เข้าใจ อ่านไม่รู้เรื่อง&nbsp; และรองลงมาคือ สภาพแวดล้อม จะต้องไม่มีสิ่งรบกวนที่ทำให้เสียสมาธิ เช่น การปิดโทรศัพท์มือถือ ปิดโทรทัศน์ หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนอยู่เยอะ ๆ เพราะหากมีสิ่งรบกวนจะทำให้เราไม่มีสมาธิ และประสิทธิภาพของการจดจำเนื้อหาลดลง</p> <p class="text-align-center"><img alt="1" class="align-center" data-entity-type="file" data-entity-uuid="-" height="100%" src="/sites/storage/files/content/2022/01/img_yp19.1.65/1.png" title="1" width="100%" /></p> <p>วันนี้เลยขอมาบางแชร์เคล็ดลับที่ลองทำแล้วช่วยให้อ่านแล้วจำได้ สำหรับฉันคิดว่าเวลาที่เหมาะกับการอ่านหนังสือคือ 19.00-22.00 น.</p> <p><strong>1. จำเฉพาะส่วนที่สำคัญ ๆ</strong> ไม่จำเป็นต้องจำทุกอย่างที่อ่าน ควรจำเฉพาะส่วนที่เป็นสาระสำคัญ ๆ หรือส่วนที่จะออกสอบเท่านั้น&nbsp;</p> <p><strong>2. อ่านหลาย ๆ รอบ</strong> เพื่อให้เราเข้าใจเนื้อเรื่องคร่าว ๆ ก่อน</p> <p><strong>3. อ่านจบ 1 เรื่อง</strong> แล้วสรุปเรื่องที่เราอ่านเป็นความเข้าใจของเราก่อน ว่าเราเข้าใจตรงไหนบ้าง แล้วไปเช็คอีกทีว่าตรงที่เราเข้าใจนั้นมันถูกหรือเปล่า</p> <p class="text-align-center"><img alt="2" class="align-center" data-entity-type="file" data-entity-uuid="-" height="100%" src="/sites/storage/files/content/2022/01/img_yp19.1.65/2.png" title="2" width="100%" /></p> <p><strong>4. อ่านอีกรอบ</strong> เช็คว่าเรื่องที่เราอ่านนั้นยังขาดส่วนที่สำคัญ ๆ ตรงไหนบ้าง</p> <p><strong>5. สรุปออกมาเป็น My mapping</strong> หรือวาดภาพเพื่อให้เข้าใจ เพราะการจำเป็นรูปภาพ จะทำให้เราจำได้แม่นและถูกต้องมากขึ้น หรือบางทีก็จำเป็นเพลงก็ได้</p> <p class="text-align-center"><img alt="3" class="align-center" data-entity-type="file" data-entity-uuid="-" height="100%" src="/sites/storage/files/content/2022/01/img_yp19.1.65/3.png" title="3" width="100%" /></p> <p><strong>6. ลองอ่านที่ My mapping</strong> ที่ตนเองเขียนขึ้นเพื่อให้ตัวเองเข้าใจอีกที</p> <p><strong>7. ถ้าเป็นเรื่องที่จะออกสอบ ลองทำโจทย์ให้เยอะ ๆ</strong> พยายามหาข้อสอบในอินเทอร์เน็ต หรือในหนังสือมาทำให้ได้มากที่สุด เพราะเป็นการทำให้เราจำได้ง่ายกว่าการอ่านเนื้อหา</p> <p><strong>8. อ่านซ้ำตอนตื่นนอนหรือก่อนจะเข้าห้องสอบ</strong> เราควรอ่านอีกรอบเพื่อเป็นการกระตุ้นให้จำได้</p> <h3 style="margin-bottom: 11px;">&nbsp;</h3> <h4><strong>Writer: <a href="https://www.facebook.com/aomm.wasana" target="_blank">Wasana Mongkollert</a></strong></h4> </div> Wed, 19 Jan 2022 03:28:24 +0000 Chudarak 667 at https://www.yellowpages.co.th ตั้งชื่อบทความอย่างไรให้ปังเปรี้ยง! https://www.yellowpages.co.th/blog/knowledge/howto-write-good-headlines <span>ตั้งชื่อบทความอย่างไรให้ปังเปรี้ยง!</span> <span><span lang="" about="/user/115923" typeof="schema:Person" property="schema:name" datatype="">Chudarak</span></span> <span>อ, 12/14/2021 - 17:00</span> <div class="field field--name-body field--type-text-with-summary field--label-hidden field--item"><p>ตั้งชื่อดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ปัญหาของหลายๆคนเวลาเขียนบทความ มักเขียนเนื้อหาบรรยายรายละเอียดออกมาได้ดีมาก แต่สิ่งที่ยากกลับเป็นการตั้งชื่อบทความ จะตั้งยังไงให้ดึงดูดแก่ผู้พบเห็น ไม่เลื่อนผ่านไปเฉยๆ</p> <p>&nbsp;</p> <h3>1.กระตุ้นด้วยคำถาม</h3> <p>กระตุ้นความอยากรู้ เช่น ทำไม รู้หรือไม่ หรือ How to บทความเหล่านี้มักได้รับความนิยมการเปิดอ่าน แต่เนื้อหาของเราต้องดีด้วยนะ</p> <h3>2.ตัวเลข</h3> <p>การพาดหัวแบบ Listing ที่มีจำนวนหัวข้อเนื้อหาย่อยที่บอกชัดเจน ทำให้คนรู้สึกว่าง่ายต่อการอ่านคอนเทนต์ เช่น 7 เทคนิคดูแลผิวหน้า แจกฟรี 4 เว็บไซต์ดาวน์โหลดฟอนต์ไทยฟรี</p> <h3>3.ใส่คำดึงดูด</h3> <p>อย่างเราเดินเลือกซื้อของคำที่ดึงดูดเราก็คงไม่พ้น ลด 50% แน่นอน พุ่งตัวเข้าไปเหมือนมีแม่เหล็กดูด ในการเขียนบทความก็เหมือนกัน ให้เราคิดว่าเราเป็นคนที่กำลังเลือกบทความอ่าน คำไหนบ้างที่ดึงดูดเราให้อยากเข้าไปอ่าน เช่น ขั้นเทพ แจกฟรี สุดปัง เคล็ดไม่ลับ เป็นต้น คำเหล่านี้ทำให้อยากจะกดเข้าไปอ่านใช่ไหมล่ะ ยิ่งคำไหนที่กำลังเป็นกระแส ห้ามพลาดเลย</p> <h3>4.เขียนไว้ ค่อยเลือก</h3> <p>เขียนไว้ก่อน แล้วมาดูข้อไหนเข้ากับเนื้อหาของเรา เขียนเนื้อหาในบทความของคุณให้เสร็จก่อน แล้วมาดูว่า อะไรคือ Pain Point สำคัญของเนื้อหา แล้วมาปรับให้เข้ากับข้อที่คุณเขียนๆไว้ดูค่ะ</p> <p>&nbsp;</p> <h3>ที่มา :</h3> <p><a href="https://contentshifu.com/blog/how-to-write-good-headlines" target="_blank">ชื่อดีมีชัยไปกว่าครึ่ง! 7 วิธีตั้งชื่อบทความให้น่าสนใจจนคนต้องกดอ่าน</a></p> <p><a href="https://intrend.trueid.net/article/5-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84-%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1-%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81-%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%81-%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93-trueidintrend_192011" target="_blank">5 เทคนิค "ตั้งชื่อบทความ" ให้คนอยาก "คลิก" มาอ่านบทความของคุณ !</a></p> </div> Tue, 14 Dec 2021 10:00:25 +0000 Chudarak 630 at https://www.yellowpages.co.th 8 ข้อแนะนำก่อนการพูดในที่สาธารณะ ตามสไตล์ TED Talk https://www.yellowpages.co.th/blog/knowledge/public-speaking <span>8 ข้อแนะนำก่อนการพูดในที่สาธารณะ ตามสไตล์ TED Talk</span> <span><span lang="" about="/user/102100" typeof="schema:Person" property="schema:name" datatype="">Ananya</span></span> <span>อ, 09/28/2021 - 09:34</span> <div class="field field--name-body field--type-text-with-summary field--label-hidden field--item"><p>เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเคยเกิดอาการกังวล ตื่นเต้น หัวใจเต้นเร็ว ตัวสั่น จากสายตาจำนวนมากที่จับจ้องมาที่เรา ไม่ว่าจะเป็นในห้องเรียน บนเวที หรือในการนำเสนองานในบริษัท คนที่เคยมีอาการเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งใดอื่น มันคือ Glossophobia หรือโรคกลัวการพูดในที่สาธารณะ</p> <p>&nbsp;&nbsp; &nbsp;จากสถิติแล้ว คนจำนวนมากถึง 75% ของประชากรทั้งหมด มีความกลัวต่อการพูดในที่สาธารณะ (Public Speaking) ดังนั้นแล้ว หากใครเคยรู้สึกกังวลเมื่อจะต้องจับไมค์เพื่อพูดเรื่องอะไรบางอย่างต่อหน้าคนเยอะ ๆ แล้ว สบายใจได้ เพราะคุณไม่ได้เป็นคนเดียว คุณมีเพื่อนในสังคมจำนวนมากที่เป็นแบบเดียวกับคุณ แต่ไม่ว่าจะกลัวแค่ไหนก็ตาม หน้าที่ของเราที่จะต้องจับไมค์และลุกขึ้นพูดต่อหน้าสายตาที่จับจ้องมาที่เรานั้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ คำถามคือ แล้วเราจะจัดการกับอาการเหล่านี้อย่างไรดี</p> <p>&nbsp;&nbsp; &nbsp;Chris Anderson ประธานของ TED Talk เคยเขียนเกี่ยวกับความกลัวต่อการพูดในที่สาธารณะไว้ในหนังสือ “TED Talks : The Official TED Guide to Public Speaking” ว่าไม่ว่าใครก็ตามก็จะต้องเจอกับความกลัวนี้ แต่เหล่านักพูดที่ได้ยืนอยู่บนเวที TED Talk ทุกคนต่างก็สามารถเอาชนะใจตนเอง และสามารถผ่านช่วงเวลาที่น่ากลัวนั้นมาได้</p> <p>&nbsp;&nbsp; &nbsp;บทความนี้จึงอยากจะแบ่งปันเทคนิคในการเตรียมใจก่อนที่จะก้าวขึ้นไปบนเวที ด้วยคำแนะนำ 8 ข้อจาก Chris Anderson</p> <p style="text-align:justify">&nbsp;</p> <h3 style="text-align: justify;">1. อย่าลืมดื่มน้ำ</h3> <p>&nbsp;&nbsp; &nbsp;เปิดมาข้อแรกหลายคนอาจจะถึงกับต้องเกาหัว ว่าการดื่มน้ำจะช่วยในการพูดได้อย่างไร แต่ความจริงแล้ว ความกังวลสามารถนำไปสู่อาการปากแห้งได้ ซึ่งเป็นอาการหนึ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการพูด ทางด้าน Chris Anderson เองได้แนะนำว่าให้ดื่มน้ำถึง 3 ขวดก่อนที่จะขึ้นเวทีซัก 5 นาที จะสามารถช่วยไม่ให้ปากแห้งระหว่างพูดได้ (แต่ก็กำกับไว้ด้วยว่าอย่าดื่มไว้เร็วกว่านั้น ไม่งั้นแทนที่จะทรมานกับอาการปากแห้ง อาจจะต้องทรมานกับความรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำอันรุนแรงก็ได้)</p> <h3 style="text-align: justify;">2. อย่าให้ท้องว่าง</h3> <p>&nbsp;&nbsp; &nbsp;นอกจากการดื่มน้ำแล้ว Chris Anderson ยังแนะนำว่า ให้หาอะไรกินก่อนที่จะขึ้นพูดด้วย โดยที่เขาได้บอกว่าความหิวนั้นอาจจะทำให้เราเกิดความเครียดสูงกว่าเดิมระหว่างที่อยู่บนเวที ดังนั้นแล้วเราควรจะหาอะไรกินก่อนที่จะขึ้นพูดซัก 1 ชั่วโมง ซึ่งข้อมูลในส่วนนี้สอดคล้องกับการศึกษาของ University of Guelph ในปี 2018 ว่าการลดลงของระดับน้ำตาลในเลือด ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลในเลือดสูงขึ้น และนำมาสู่ความเครียดนั่นเอง</p> <h3 style="text-align: justify;">3. ใช้ความกลัวเป็นแรงขับเคลื่อน</h3> <p>&nbsp;&nbsp; &nbsp;ข้อดีข้อหนึ่งของความกลัวและความกังวลคือ ความรู้สึกเหล่านั้นจะเป็นแรงผลักดันให้เราซ้อมและเตรียมตัวมากขึ้น เมื่อเราซ้อมและเตรียมตัวมาดีพอ ถึงจุดหนึ่ง ความกลัว ความกังวลเหล่านั้นก็จะลดลง การพูดของเราก็จะดีขึ้นมากกว่าเดิม</p> <h3 style="text-align: justify;">4. ใช้ร่างกายช่วย</h3> <p>&nbsp;&nbsp; &nbsp;หากเรารู้สึกตื่นเต้นหรือกระวนกระวายเพราะอะดรีนาลีน Chris Anderson แนะนำให้เราหากิจกรรมทางร่างกายทำ เช่นการหายใจเข้าให้ลึกที่สุด ทำซ้ำไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะรู้สึกสงบลง หรืออาจจะใช้การออกกำลังกายช่วยก็ยังได้&nbsp;</p> <p>&nbsp;&nbsp; &nbsp;ในเวที TED เมื่อปี 2014 Chris Anderson เล่าว่าในตอนนั้นเขาจะต้องสัมภาษณ์ Richard Ledgett ผู้ที่เป็นถึงเป็นรองอธิบดีของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ และเขารู้สึกกังวลและตื่นเต้นมาก เขาจึงหาทางสงบสติอารมณ์ตัวเองด้วยการลงไปวิดพื้นอยู่หลังเวที ผลปรากฎว่าตัวเขาเองนั้นสามารถวิดพื้นได้มากกว่าปกติที่เขาทำได้ถึง 30% และเมื่อวิดพื้นเสร็จ อะดรีนาลีนหายไป เขาเล่าว่า ณ ขณะนั้นคือความสงบและความมั่นใจเป็นเพียงไม่กี่อย่างที่อยู่ในหัว</p> <h3 style="text-align: justify;">5. พลังแห่งความอ่อนแอ</h3> <p>&nbsp;&nbsp; &nbsp;ผู้ฟังจะเกิดความเอ็นดูต่อผู้พูดที่ดูมีความกังวลเสมอ และจะเอ็นดูขึ้นไปอีกหากว่าผู้พูดคนนั้นสามารถที่จะเอาชนะความกลัวนั้นได้ หากว่าเราเกิดอาการพูดติดอ่าง หรือพูดผิดบ้างในตอนต้น การแสดงให้เห็นว่าเรากังวลหรือประหม่านั้น ไม่ใช่เรื่องที่เสียหายอะไรเลย ประโยคประมาณว่า “แม้ว่าจะซ้อมมาแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ เมื่อได้มายืนอยู่หน้าทุกคนครับ” หรือ “ขอโทษที่อาจจะพูดผิดพูดถูกนะครับ ตื่นเต้นมาก ๆ ที่วันนี้ได้มาเจอหน้าทุกคน” อาจจะทำให้ผู้ฟังทุกคนให้กำลังใจเรามากขึ้นด้วยซ้ำ</p> <h3 style="text-align: justify;">6. หาเพื่อนในหมู่ผู้ฟัง</h3> <p>&nbsp;&nbsp; &nbsp;ในช่วงเริ่มต้นของการพูด ให้เราพยายามหาผู้ฟังที่ดูตั้งใจฟังและดูจะเห็นอกเห็นใจเราที่จะต้องมียืนพูดอยู่ตรงนี้ พยายามหาผู้ฟังเหล่านี้ให้ประมาณ 3-4 จุดในการพูดแต่ละครั้ง เมื่อหาได้แล้ว ลองพูดและสบตากับบุคคลเหล่านี้ อาจจะมีการเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เช่นพูดกับคนที่อยู่ฝั่งซ้าย เปลี่ยนไปพูดกับคนที่อยู่ตรงกลาง และเปลี่ยนไปพูดกับคนที่อยู่ด้านขวา การพูดเช่นนี้จะทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าเรากำลังมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขา อีกทั้งสายตาที่มองมายังสามารถช่วยเพิ่มความมั่นใจให้เราได้อีกด้วย และหากเรามีเพื่อนที่เป็นเพื่อนของเราจริง ๆ นั่งเป็นผู้ฟังอยู่ด้วย เราสามารถพูดกับพวกเขาได้เลย ซึ่งจะช่วยลดความประหม่าและทำให้เรารู้ด้วยว่าเราควรใช้น้ำเสียงประมาณไหนอีกด้วย</p> <h3 style="text-align: justify;">7. มีแผนสำรองเสมอ</h3> <p>&nbsp;&nbsp; &nbsp;ไม่ว่าจะเตรียมตัวมาดีขนาดไหน แต่สิ่งไม่คาดฝันก็อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แผนสำรองจึงเป็นสิ่งที่ควรมีทุกครั้งเพื่อทำให้การพูดนั้นสามารถดำเนินไปต่อได้ เช่น หากกลัวว่าตัวเองจะตื่นเต้นจนลืมว่าจะต้องพูดอะไร อาจจะลองหาโน๊ตอันเล็ก ๆ ไว้ในกระเป๋าเสื้อเพื่อหยิบขึ้นมาดูได้ หรือหากกลัวว่าจะเกิดปัญหาทางเทคนิค เช่น จอโปรเจคเตอร์ดับลงไปเฉย ๆ ก็อาจจะเตรียมหัวข้อพูดคุยกับทุกคนในห้องไปพลาง ๆ ระหว่างรอให้ฝ่าย IT หรือเพื่อนร่วมงานพยายามทำให้จอติดอีกครั้งก็ได้&nbsp;</p> <h3 style="text-align: justify;">8. โฟกัสกับใจความที่ตัวเองอยากจะพูดเสมอ</h3> <p>&nbsp;&nbsp; &nbsp;ข้อสุดท้ายนี้เป็นสิ่งที่ Chris Anderson ย้ำมากที่สุด ว่าสิ่งที่เราพูดให้คนอื่นฟังนั้น ไม่ใช่เป็นเพียงข้อความที่เราพูดออกไปเฉย ๆ แต่มันคือไอเดีย เป็นแก่นของความคิดที่เปรียบเสมือนเป็นของขวัญที่จะมอบให้กับผู้ฟังนั่นเอง</p> <p style="text-align: justify;">&nbsp;</p> <p>&nbsp;&nbsp; &nbsp;จากทั้งหมด 8 ข้อนี้ เป็นคำแนะนำจาก Chris Anderson ผู้เป็นประธานของ TED Talks เชื่อว่าถ้าหากผู้อ่านทุกคนได้ลองทำตามคำแนะนำเหล่านี้ ก็จะทำให้ความกลัวในการพูดนั้นลดลง และทำให้การพูดของเรานั้นน่าประทับใจและเป็นที่น่าจดจำมากขึ้นด้วย</p> <p style="text-align: justify;">&nbsp;</p> <h4>Source</h4> <p style="text-align:justify"><a href="https://www.verywellmind.com/glossophobia-2671860" style="color:blue; text-decoration:underline" target="_blank">Glossophobia or the Fear of Public Speaking (verywellmind.com)</a></p> <p style="text-align:justify"><a href="https://www.psycom.net/glossophobia-fear-of-public-speaking" style="color:blue; text-decoration:underline" target="_blank">Glossophobia (Fear of Public Speaking): Are You Glossophobic? (psycom.net)</a></p> <p style="text-align:justify"><a href="https://www.orai.com/blog/fear-of-public-speaking-statistics/" style="color:blue; text-decoration:underline" target="_blank">48 Fear of Public Speaking Statistics You Should Know in 2020 - Orai Blog</a></p> <p style="text-align:justify"><a href="https://www.anxietycentre.com/anxiety-disorders/symptoms/dry-mouth-anxiety/" style="color:blue; text-decoration:underline" target="_blank">Why Anxiety Causes Dry Mouth (Xerostomia) And What To Do - AnxietyCentre.com</a></p> <p style="text-align:justify"><a href="https://www.healthline.com/health/dry-mouth-anxiety" style="color:blue; text-decoration:underline" target="_blank">Dry Mouth Anxiety: Causes, Home Remedies, Treatment (healthline.com)</a></p> <p style="text-align:justify"><a href="https://www.sciencedaily.com/releases/2018/09/180925115218.htm" style="color:blue; text-decoration:underline" target="_blank">Link between hunger and mood explained: The sudden drop in glucose we experience when we are hungry can impact our mood -- ScienceDaily</a></p> <p style="text-align:justify">Book : TED Talks : The Official TED Guide to Public Speaking</p> </div> Tue, 28 Sep 2021 02:34:53 +0000 Ananya 478 at https://www.yellowpages.co.th หลักการเป็นผู้นำ ตามสไตล์ Fred Fiedler https://www.yellowpages.co.th/blog/knowledge/fred-fiedler <span>หลักการเป็นผู้นำ ตามสไตล์ Fred Fiedler</span> <span><span lang="" about="/user/102100" typeof="schema:Person" property="schema:name" datatype="">Ananya</span></span> <span>อ, 09/28/2021 - 09:33</span> <div class="field field--name-body field--type-text-with-summary field--label-hidden field--item"><p>ในการทำธุรกิจ สิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยคือ การเป็นผู้นำ เพื่อที่จะพาองค์กรหรือบริษัทของเราก้าวเดินไปข้างหน้า ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงหลักการเป็นผู้นำที่เรียกว่า Fiedler’s Contingency Model</p> <p>&nbsp; &nbsp; Fred Edward Fiedler นักจิตวิทยาชาวออสเตรียได้ทำการศึกษาบุคลิกและลักษณะเฉพาะของผู้นำ และในช่วงปี 1960 ได้นำเสนอหลักการเป็นผู้นำที่มีชื่อว่า Fiedler’s Contingency Model โดยมีแนวคิดหลักว่า ไม่มีสไตล์การเป็นผู้นำแบบไหนที่มีประสิทธิภาพที่สุด รูปแบบการเป็นผู้นำที่เหมาะสมจะปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์โดยพิจารณาจากปัจจัยสามอย่าง คือ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับคนในทีม โครงสร้างของงานที่ทำ และอำนาจของผู้นำ</p> <p>&nbsp; &nbsp; ปัจจัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับคนในทีม จะต้องพิจารณาว่าระหว่างคนในทีมกับผู้นำมีความสัมพันธ์ที่ดีหรือไม่ดี สำหรับโครงสร้างของงานที่ทำจะต้องพิจารณาว่างานที่ทำนั้น เป็นงานที่มีโครงสร้าง มีระบบที่ซับซ้อน หรือเป็นงานฟรีสไตล์ที่เน้นความสร้างสรรค์ ทำวิธีไหนก็ได้ และสุดท้ายคืออำนาจของผู้นำ ว่าผู้นำอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจในการสั่งงานหรือไม่</p> <p>&nbsp; &nbsp; เมื่อพิจารณาปัจจัยทั้งสามอย่างแล้วจะทำให้สามารถพิจารณาได้ว่าสไตล์การเป็นผู้นำแบบไหนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดระหว่างการเป็นผู้นำที่เน้นงาน กับการเป็นผู้นำที่เน้นสร้างความสัมพันธ์ ตามตารางด้านล่างนี้</p> <div class="table-responsive"> <table align="center" border="1" cellpadding="1" cellspacing="1" class="table table-bordered"> <thead> <tr> <th class="text-align-center" scope="col" style="width: 505px;"> <h3>ความสัมพันธ์ระหว่าง<br /> ผู้นำกับคนในทีม</h3> </th> <th class="text-align-center" scope="col" style="width: 505px;"> <h3>โครงสร้างของงานที่ทำ</h3> </th> <th class="text-align-center" scope="col" style="width: 505px;"> <h3>อำนาจของผู้นำ</h3> </th> <th class="text-align-center" scope="col" style="width: 505px;"> <h3>สไตล์การเป็นผู้นำที่เหมาะสม</h3> </th> </tr> </thead> <tbody> <tr> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">ดี</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">มีระบบ</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">สูง</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">เน้นงาน</td> </tr> <tr> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">ดี</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">มีระบบ</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">ต่ำ</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">เน้นงาน</td> </tr> <tr> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">ดี</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">ไม่มีระบบ</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">สูง</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">เน้นงาน</td> </tr> <tr> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">ดี</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">ไม่มีระบบ</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">ต่ำ</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">เน้นความสัมพันธ์</td> </tr> <tr> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">แย่</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">มีระบบ</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">สูง</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">เน้นความสัมพันธ์</td> </tr> <tr> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">แย่</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">มีระบบ</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">ต่ำ</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">เน้นความสัมพันธ์</td> </tr> <tr> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">แย่</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">ไม่มีระบบ</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">สูง</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">เน้นความสัมพันธ์</td> </tr> <tr> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">แย่</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">ไม่มีระบบ</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">ต่ำ</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">เน้นงาน</td> </tr> </tbody> </table> </div> <p>&nbsp; &nbsp; จากแนวคิดของ Fred Fiedler จะพบว่าสถานการณ์ในการทำงานจะมีด้วยกัน 8 รูปแบบด้วยกัน ซึ่งแต่ละรูปแบบก็จะมีสไตล์การเป็นผู้นำที่แตกต่างกัน</p> <p>&nbsp; &nbsp; ยกตัวอย่างเช่น ลองจินตนาการว่าเราได้สมัครงานเข้าไปเป็นหัวหน้าแผนกของบริษัทหนึ่ง เมื่อเข้าไปทำงานวันแรกก็ได้พบว่า หัวหน้าแผนกคนก่อนเป็นคนที่ได้รับความเคารพรักจากลูกน้องในแผนกมาก ในขณะที่เราที่เพิ่งเข้ามา ก็ยังไม่ได้รับความไว้วางในจากลูกน้องในแผนกเท่ากับหัวหน้าคนก่อน (ดังนั้นแล้วความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับคนในทีมอยู่ในระดับที่แย่) และเราได้พบว่างานที่เรากำลังทำอยู่นั้น เป็นงานที่มีระบบระเบียบแบบแผนชัดเจน และมีความซับซ้อนสูง (ดังนั้นแล้ว งานที่ทำเป็นงานที่มีระบบ) แต่ด้วยตำแหน่งของเราที่เป็นหัวหน้าแผนก ทำให้เรามีอำนาจในการบริหารและสั่งการสูง (ดังนั้นแล้ว อำนาจของผู้นำเป็นแบบสูง) เมื่อพิจารณาทั้งหมดตามเกณฑ์ของ Fiedler’s Contingency Model แล้ว จะพบว่าสไตล์การเป็นผู้นำที่เหมาะสมกับงานนี้คือการเป็นผู้นำแบบที่เน้นความสัมพันธ์นั่นเอง</p> <p>&nbsp; &nbsp; หรือหากว่าเราเป็นหัวหน้าทีมที่ทำงานกับลูกน้องของเรามาเป็นเวลานานและสร้างความสนิทสนมกันแล้ว (ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับคนในทีมดี) งานที่ทำเป็นงานสบาย ๆ ไม่ได้มีระบบมาก (โครงสร้างของงานเป็นแบบไม่มีระบบ) และด้วยตำแหน่งของเรานั้น เราไม่ได้มีอำนาจในการสั่งงานที่สูง (อำนาจของผู้นำอยู่ในระดับต่ำ) เมื่อพิจารณาตามโมเดลนี้แล้ว จะพบว่ารูปแบบการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการเป็นผู้นำแบบเน้นงานนั่นเอง</p> <p>&nbsp; &nbsp; จากที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่า Fred Fiedler บอกว่าสไตล์การเป็นผู้นำนั้นแบ่งเป็นสองรูปแบบคือ เน้นงานและเน้นความสัมพันธ์ หลาย ๆ คนอาจจะเกิดสงสัยว่าตัวเองนั้นเป็นผู้นำสไตล์ไหนกันแน่ Fred Fiedler ได้ใส่แบบทดสอบวัดสไตล์การเป็นผู้นำมาให้ในหนังสือ A Theory of Leadership Effectiveness โดยที่ Fred Fiedler เชื่อว่าแต่ละคนจะมีสไตล์การเป็นผู้นำที่กำหนดไว้แล้ว ไม่เปลี่ยนแปลง</p> <p>&nbsp; &nbsp; การใช้ตารางนี้ ให้เรานึกถึงคนคนหนึ่งที่เราเคยทำงานด้วย (อาจจะเป็นในการเรียน หรือการฝึกซ้อมอะไรบางอย่างก็ได้) โดยที่คนคนนั้นเป็นคนที่ทำให้เรารู้สึกว่า เท่าที่เราเจอคนมาในชีวิต คนคนนี้คือคนที่เราไม่ชอบทำงานด้วยมากที่สุด และให้ใส่คะแนนในด้านต่าง ๆ ของคนคนนั้นตามตารางด้านบน</p> <table border="1" cellpadding="1" cellspacing="1" class="table table-bordered" style="width: 888px;"> <tbody> <tr> <td style="width: 505px;">&nbsp;ไม่เป็นมิตร (Unfriendly)</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">1 2 3 4 5 6 7 8</td> <td style="width: 505px;">&nbsp;เป็นมิตร (Friendly)</td> </tr> <tr> <td style="width: 505px;">&nbsp;เป็นคนไม่สนุก (Unpleasant)</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">1 2 3 4 5 6 7 8</td> <td style="width: 505px;">&nbsp;เป็นคนสนุก (Pleasant)</td> </tr> <tr> <td style="width: 505px;">&nbsp;เป็นคนปฏิเสธ (Rejecting)</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">1 2 3 4 5 6 7 8</td> <td style="width: 505px;">&nbsp;เป็นคนยอมรับ (Accepting)</td> </tr> <tr> <td style="width: 505px;">&nbsp;เป็นคนเครียด (Tense)</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">1 2 3 4 5 6 7 8</td> <td style="width: 505px;">&nbsp;เป็นคนสบาย ๆ (Relaxed)</td> </tr> <tr> <td style="width: 505px;">&nbsp;เป็นคนเย็นชา (Cold)</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">1 2 3 4 5 6 7 8</td> <td style="width: 505px;">&nbsp;เป็นคนอบอุ่น (Warm)</td> </tr> <tr> <td style="width: 505px;">&nbsp;เป็นคนน่าเบื่อ (Boring)</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">1 2 3 4 5 6 7 8</td> <td style="width: 505px;">&nbsp;เป็นคนน่าสนใจ (Interesting)</td> </tr> <tr> <td style="width: 505px;">&nbsp;เป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก (Backbiting)</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">1 2 3 4 5 6 7 8</td> <td style="width: 505px;">&nbsp;เป็นคนซื่อสัตย์ (Loyal)</td> </tr> <tr> <td style="width: 505px;">&nbsp;เป็นคนที่ไม่ให้ความร่วมมือ (Uncooperative)</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">1 2 3 4 5 6 7 8</td> <td style="width: 505px;">&nbsp;เป็นคนให้ความร่วมมือ (Cooperative)</td> </tr> <tr> <td style="width: 505px;">&nbsp;คอยเป็นศัตรูกับผู้อื่น (Hostile)</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">1 2 3 4 5 6 7 8</td> <td style="width: 505px;">&nbsp;คอยสนับสนุนผู้อื่น (Supportive)</td> </tr> <tr> <td style="width: 505px;">&nbsp;เป็นคนไม่เปิดกว้าง (Guarded)</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">1 2 3 4 5 6 7 8</td> <td style="width: 505px;">&nbsp;เปิดคนเปิดกว้าง (Open)</td> </tr> <tr> <td style="width: 505px;">&nbsp;เป็นคนไม่จริงใจ (Insincere)</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">1 2 3 4 5 6 7 8</td> <td style="width: 505px;">&nbsp;เป็นคนจริงใจ (Sincere)</td> </tr> <tr> <td style="width: 505px;">&nbsp;ใจร้าย (Unkind)</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">1 2 3 4 5 6 7 8</td> <td style="width: 505px;">&nbsp;ใจดี (Kind)</td> </tr> <tr> <td style="width: 505px;">&nbsp;ไม่นึกถึงผู้อื่น (Inconsiderate)</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">1 2 3 4 5 6 7 8</td> <td style="width: 505px;">&nbsp;เอาใจใส่ผู้อื่น (Considerate)</td> </tr> <tr> <td style="width: 505px;">&nbsp;เชื่อไม่ได้ (Untrustworthy)</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">1 2 3 4 5 6 7 8</td> <td style="width: 505px;">&nbsp;เชื่อถือได้ (Trustworthy)</td> </tr> <tr> <td style="width: 505px;">&nbsp;ดูหมองมัว (Gloomy)</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">1 2 3 4 5 6 7 8</td> <td style="width: 505px;">&nbsp;ร่าเริง (Cheerful)</td> </tr> <tr> <td style="width: 505px;">&nbsp;มีการโต้เถียง (Quarrelsome)</td> <td class="text-align-center" style="width: 505px;">1 2 3 4 5 6 7 8</td> <td style="width: 505px;">&nbsp;ลงรอยกับผู้อื่น (Harmonious)</td> </tr> </tbody> </table> <ul> <li>ได้คะแนน 73 หรือมากกว่า แสดงว่าเราเป็นผู้นำแบบเน้นความสัมพันธ์</li> <li>ได้คะแนนระหว่าง 55 กับ 72 แสดงว่าเราเป็นผู้นำที่อยู่ตรงกลางระหว่างสองรูปแบบ</li> <li>ได้คะแนน 54 หรือน้อยกว่า แสดงว่าเราเป็นผู้นำแบบเน้นงาน</li> </ul> <p>&nbsp; &nbsp; Fred Fiedler อธิบายไว้ว่าผู้นำที่เน้นงาน มีแนวโน้มที่จะมองบุคคลดังกล่าวในด้านลบ และให้คะแนนบุคคลนั้นน้อย เขาได้กล่าวไว้ว่าผู้นำลักษณะนี้เป็นผู้นำที่สามารถทำงานให้เสร็จได้อย่างมีรวดเร็วและประสิทธิภาพ โดยให้ความสำคัญกับงานมากกว่าและความสัมพันธ์เป็นเรื่องรอง</p> <p>&nbsp; &nbsp; ในขณะที่ผู้นำที่เน้นความสัมพันธ์ มีแนวโน้มที่จะมองบุคคลดังกล่าวในแง่บวก และให้คะแนนบุคคลนั้นสูง ผู้นำลักษณะนี้จะมุ่งเน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล หลีกเลี่ยงการทะเลาะและความขัดแย้ง</p> <p>&nbsp; &nbsp; ในขณะที่คนที่อยู่ตรงกลางระหว่างสองรูปแบบจะไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน Fred Fiedler อธิบายว่าคนกลุ่มนี้จะต้องค้นหาเองว่าสไตล์การเป็นผู้นำแบบไหนที่จะเหมาะสมกับตนเองมากที่สุด</p> <h3>ข้อดี-ข้อเสียของหลักการเป็นผู้นำแบบนี้</h3> <p>&nbsp; &nbsp; ข้อดีของหลักการนี้คือ เป็นหลักการที่มีเกณฑ์ในการพิจารณาที่ชัดเจน ทำให้สามารถรู้ได้อย่างชัดเจนว่าสไตล์การเป็นผู้นำแบบไหนที่เหมาะสมกับสถานการณ์นั้น ๆ อีกทั้งยังเป็นหลักการที่แตกต่างจากทฤษฎีการเป็นผู้นำอื่น ๆ เพราะหลักการนี้เป็นหลักการที่นำสถานการณ์มาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาสไตล์ที่เหมาะสม ไม่ได้สนใจที่ตัวผู้นำอย่างเดียว</p> <p>&nbsp; &nbsp; ในขณะที่ข้อเสียของหลักการนี้คือ เป็นหลักการที่ไม่ยืดหยุ่น เพราะ Fred Fiedler ได้ระบุไว้ว่าแต่ละคนจะมีสไตล์การเป็นผู้นำของตนเอง ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นหากผู้นำคนหนึ่งเข้าไปเจอสถานการณ์ที่ไม่สอดคล้องกับสไตล์การเป็นผู้นำของตนเองแล้ว ทางแก้ที่ Fred Fiedler ได้เสนอมาคือเปลี่ยนผู้นำให้เข้ากับสถานการณ์นั้น ซึ่งในบางครั้ง วิธีแก้นี้ไม่สามารถทำได้ และข้อเสียอีกอย่างหนึ่งคือหากเราทำแบบทดสอบแล้วได้คะแนนอยู่ตรงกลางระหว่าง 55 กับ 74 จะทำให้เราไม่มีแนวทางชัดเจนในการเป็นผู้นำในทีมนั้น ๆ ที่ชัดเจน อีกทั้งการทำแบบทดสอบและการพิจารณาสถานการณ์นั้นยังขึ้นอยู่กับมุมมองและความเห็นของผู้ที่ทำแบบทดสอบเอง ซึ่งผู้ทำแบบทดสอบนั้นอาจจะประเมินสถานการณ์ผิดไปและใช้สไตล์การเป็นผู้นำผิดก็ได้</p> <p>&nbsp;</p> <h4>Source</h4> <p style="text-align:justify"><a href="https://www.mindtools.com/pages/article/fiedler.htm" style="color:blue; text-decoration:underline" target="_blank">Fiedler's Contingency Model - Leadership Skills From MindTools.com</a></p> <p style="text-align:justify"><a href="https://expertprogrammanagement.com/2018/11/fiedler-contingency-theory/" style="color:blue; text-decoration:underline" target="_blank">Fiedler's Contingency Theory of Leadership - with Examples (expertprogrammanagement.com)</a></p> </div> Tue, 28 Sep 2021 02:33:01 +0000 Ananya 475 at https://www.yellowpages.co.th